เรื่องเล่าศิษย์เก่าเพลินพัฒนา ป๊อป รุ่น 6

“… เริ่มรับออกแบบตอนอยู่ชั้นปีที่ 3 ครับ โดยอาจารย์ที่เคยสอนนำงานออกแบบออฟฟิศมาให้ทำ หลังจากนั้นก็รับงานมาเรื่อยๆ ครับ ลักษณะงานที่ผมทำจะเป็นงานออกแบบภายในผ่านโปรแกรม 3D งานล่าสุดที่ผมรับเป็นงานออกแบบปรับปรุงห้องน้ำที่สวนจตุจักรซึ่งเป็นผลงานสร้างจริง ถ้างานชิ้นใหญ่ๆ จะเป็นการแกะแบบ ถอดดีเทล มีใส่ไอเดียของตัวเองด้วยที่ Marvel experience Thailand…”

คำบอกเล่าจาก “ป๊อบ” นายพิสิฐสิริ สิริภัทรวรีย์ ศิษย์เก่าเพลินพัฒนารุ่นที่ 6 บัณฑิตป้ายแดงจาก คณะศิลปวิจิตร สาขาออกแบบตกแต่งภายใน สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เมื่อเห็นงานออกแบบของ “ป๊อบ” ยิ่งทำให้เห็นถึงความตั้งใจทำในสิ่งที่รักและสนใจ 4 ปีในการเรียนรู้ป๊อบได้เก็บเกี่ยวทั้งความรู้และประสบการณ์การทำงานไปพร้อมกัน

ผลงานที่ผ่านมา

สำหรับผลงานเรียนมีทั้งบ้าน โรงแรม โรงพยาบาล สปา ออฟฟิศ ในส่วนผลงานที่เคยประกวดจะเป็นรายการของ SB furniture ครับ

  • SB Design Contest 2016 เป็นงานที่ประกวดครั้งแรกตอนอยู่ชั้นปีที่ 2 ออกแบบบ้าน ได้อันดับที่ 3
  • SB Design Contest 2017 เป็นงานประกวดคอนโดมิเนี่ยม ได้อันดับที่ 3
  • SB Design Contest 2018 เป็นงานประกวดบ้าน ได้อันดับที่ 2

” บูธเครื่องนอน Restier ” ที่ไบเทคบางนา เป็นงานที่ผมไม่ได้ออกแบบเอง แต่มีดีไซน์เนอร์ออกแบบไว้ หลักๆ ที่ผมทำคือแกะแบบ ถอดแบบประกอบให้ช่างคิดราคา และคำนวณวัสดุ

“ร้านอาหารญี่ปุ่น” เป็นงานที่ผู้รับเหมาจ้างทำแบบเสนอลูกค้าครับ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เป็นไอเดียของเจ้าของ และผู้รับเหมาเขาอยากเห็นภาพ 3D ว่าออกมาแล้วจะเป็นอย่างไรครับ

“งานปรับปรุงห้องน้ำที่สวนจตุจักร” ผู้รับเหมาภายนอกเข้ามาจ้างทำแบบเพราะต้องยื่นประมูลงานของรัฐครับ แบบที่ผมทำชนะประมูลจนได้ทำจริงครับ ในแบบกับของจริงอาจจะไม่เหมือนกัน เพราะหน้างานผู้รับเหมามีการปรับเปลี่ยนครับ

“ผลงาน Marvel experience Thailand” งานนี้ได้รับมอบหมายตอนฝึกงานครับ ผมได้ดีไซน์เองแค่บางส่วน เพราะงานนี้มีแบบ 3D ของต่างประเทศมาแล้ว แต่ต้องการมาสร้างจริง ผมมีหน้าที่แกะแบบ ถอดแบบ จำนวนวัสดุ คุยกับฝ่ายขาย ทำแบบทุกอย่างเลย รวมถึงไปร่วมประชุมด้วยครับ

วางแผนอย่างไรหลังจบการศึกษา

ตั้งใจว่าจะหาประสบการณ์ในการเป็นลูกจ้างบริษัทก่อนเพื่อเรียนรู้ตั้งแต่ออกแบบ เขียนแบบ คุมงาน ส่วนอนาคตผมอยากเปิดบริษัทออกแบบตกแต่งภายในเป็นของตัวเอง และอยากกลับมาเป็นอาจารย์พิเศษสอนที่โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย อยากสอนน้องๆ ที่อยากทำสายอาชีพนี้ครับ

ถ้ามองย้อนกลับไป เพลินพัฒนาให้อะไรกับป๊อบบ้าง

ได้เยอะเลยนะครับ เริ่มจาก “ทัศนคติ” ผมมองว่าผมเป็นคนที่มีทัศนคติเชิงบวก ช่วงที่ผมเรียนอยู่ปี 2 เพื่อเตรียมขึ้นปี 3 พวกผมต้องเรียนวิชาเอกให้ผ่านเพื่อจะได้จบตามเกณฑ์ ตอนนั้นยอมรับว่าอาจารย์สั่งงานค่อนข้างยาก รู้สึกท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง เพื่อนๆ ทุกคนเลือกที่จะไม่มาส่งงานแล้วหายไป มีผมกับรุ่นพี่สองคนเลือกที่จะสู้ต่อ ทำงานต่อจึงสามารถผ่านขึ้นไปได้ ในรุ่นเดียวกันที่จบตามเกณฑ์จึงมีผมจบคนเดียวในสาขาครับ

ส่วนเรื่องที่สองคือการเข้าหาคนครับ ตอนที่อยู่เพลินพัฒนา สังคมก็จะอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นสังคมที่ดีมากครับ ทำให้ตัวผมเองซึบซับสิ่งดีๆ สภาพแวดล้อมดีๆ พอตัวผมเข้าไปอีกสังคมหนึ่งที่ค่อนข้างต่างออกไป เวลาเจอเพื่อนๆ เขาจะมองว่าเราเข้าถึงง่าย ช่วยเหลือผู้อื่น หรือกับผู้ใหญ่ อาจารย์ จะค่อนข้างเข้าหาง่ายมาก อาจารย์บอกว่าเรามีทัศนคติที่ดีด้วยครับ จึงช่วยเปิดโอกาสให้ผม แนะนำที่ฝึกงาน พอได้ฝึกงานก็ได้เจอคนเก่งๆ ดีไซน์เนอร์ระดับประเทศ หลายๆ อย่างที่ได้เรียนรู้จากเพลินฯ เป็นจุดเล็กๆ ที่บ่มเพาะตัวผมให้มาถึงตรงนี้ได้ครับ

มีการปรับตัวในสังคมที่เราได้เจอผู้คนที่หลากหลายอย่างไร

สังคมที่ผมเจอก็มีทั้งดีและไม่ดี แบบอยู่ที่ว่าเราพาตัวเราไปอยู่จุดๆ ไหนครับ อย่างตัวผมที่เรียนมา 4 ปี สังคมเพื่อนส่วนใหญ่ก็มีดีบ้าง ไม่ดีบ้างก็จะหลีกเลี่ยง เราต้องบาลานซ์ความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ การเรียนดี ๆ ส่วนใหญ่จะชอบอยู่กับอาจารย์มากกว่า หลายๆ ครั้งเพื่อนก็เรียกว่าลูกรัก 555 แรกๆ ก็ไม่โอเคที่เค้าเรียกแบบนั้น หลังๆ ก็ชินครับ ส่วนเรื่องการเผชิญโลกข้างนอก แรกๆ ที่ผมได้มาฝึกงาน ก็กลัวนะครับ แต่เราใช้ความอ่อนน้อมถ่อมตน ทักษะการเข้าหาคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ก็ผ่านมาได้ด้วยดีครับ เขาก็เอ็นดูเรา ชวนเรามาทำงานด้วย ให้งานมาทำ ผมว่าเรื่องเหล่านี้ฝึกกันได้ครับ หลายๆ อย่างจะหล่อหลอมตัวเราเองให้เข้ากับสังคมที่เราอยู่ หรือโลกภายนอกครับ

ฝากถึงน้องๆ จะเริ่มต้นค้นหาตัวตนได้อย่างไร

น้องๆ ที่ขาดแรงบันดาลใจ หรือยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ถ้าผมจะแนะนำ อยากให้น้องๆ ลองทำอะไรหลายๆ อย่างเลยครับ เช่นไปค่ายตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือเวลามหาวิทยาลัยจัด open house อยากให้ลองไปดูครับ ดูหลายๆ คณะ ว่าเราสนใจคณะไหน หรือง่ายกว่านั้นดูพี่ๆ ที่จบไปว่าเค้าทำงานอะไรบ้าง งานเค้าเกี่ยวกับอะไร ต้องเรียนไปทางด้านไหน หรือถ้าสุดท้ายแล้วยังไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะเข้าที่ไหน ผมคิดว่าการ “หยุด” เพื่อค้นหาตัวเองจริงๆ ก็ไม่ใช่การเสียเวลาครับ อย่างน้อยในปีหนึ่งเราจะรู้ตัวแล้วว่าเราอยากเรียนอะไร อยากทำงานอะไร ดีกว่าไปเสียเวลาในมหาวิทยาลัย 4 ปีในคณะที่รู้สึกว่าไม่ใช่ แต่ถ้าจะให้ดีก็รีบค้นหาตัวเองดีที่สุดครับ

ชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ “ป๊อบ” บนเส้นทางอาชีพที่ตั้งใจไว้นะคะ เชื่อมั่นว่าการมีทัศนคติเชิงบวก และความอ่อนน้อมถ่อมตนคือใบเบิกทางสำคัญที่จะนำพา “ป๊อบ” ไปสู่เป้าหมายได้อย่างแน่นอน